โปรดอ่าน
   (1) เนื้อหาบางส่วนมีจะ Copy ที่จากเว็บอื่นๆบ้างบางส่วน หนังสือบางส่วน แต่ผมไม่ได้ต้องใจละเมิดลิขสิทธิ์ใดๆ เป็นเพียงการจดบันทึก และไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ จากการทำเว็บ Blog
   (2) ถ้าพูดถึงชื่อหุ้น ผมไม่ได้แนะนำซื้อหรือขายทั้งสิ้น เป็นเพียงการจดบันทึกของผมเท่านั้น
   (3) เนื้อหาทั้งหมดทุกท่านมาสามารถติได้ เพื่อผมจะนำไปปรับปรุง และพัฒนาตัวเองต่อไป

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

KCG - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

 Q3-2024 Performance

  • รายได้ โต 4.3% YoY
  •  กำไรขั้นต้น 30.3% to sale โต 0.4%YoY
  •  SA&A 24.6% to sale ลดลง 0.6% YoY
  • กำไรสุทธิ โต 38.7% YoY -18.8% QoQ  (สาเหตุหลักการลดลง QoQ สาเหตุหลักคือ GP ลดลง เนื่องจากสินค้า Commodity Raw mat. ตั้งแต่ต้นปี 2022-Q1/2023 สูง และทยอยลดลงปี 2023 ลดลงมาตลอด ลงมาต่ำสุด Q4/2023 และตอนนี้ทยอยปรับขึ้น Q3/2024 เพิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Q4/2023 ยิ่งสูงกว่า Q3/2024)

 9M-2024 Performance

  • รายได้ โต 5.6% YoY
  • กำไรขั้นต้น 30.9% to sale โต 2.1%YoY
  •  SA&A 24.4% to sale เพิ่ม 0.4% YoY (เกิดจากโยกย้ายสินค้า ครั้งของตัว Logistic part จากคลังข้างนอกเข้ามา และมีการใช้ไฟฟ้าเพื่อวอร์มเครื่องเย็นให้ถึงอุณภูมิที่เก็บสินค้าได้ จากอุณหภูมิห้องเป็นอุณหภูมิติดลบ)
  • กำไรสุทธิ โต 47.6% YoY และ

สัดส่วนในการขาย

By category

  • Dairy 60.7%
  • FBI 28.9%
  •  Biscuits 10.4%

By channel

  • B2B 42.5%
  • B2C 53.1%
  • Export 4.3%

By operation

  • Own manufacturing 73.6% (ผลิตเอง และจำหน่าย)
  • Trading 26.4% (สินค้านำเข้า ซื้อมาขายไป)

D/E ratio 1.1 เท่า จากปีที่แล้ว 1.2 เท่า

IBD/E 0.6 เท่า จากปีที่แล้ว 0.7 เท่า

 

เทรนด์ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร

  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญอาหารเพื่อสุขภาพ และโภชนการ หรือที่ผลิตจากพืช หรือ Plant base น้ำตาลต่ำ เกลือต่ำ ไขมันต่ำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย นำมาใช้อีกรอบ ลดขยะของเสีย
  • ลดขยะอาหาร โดย KCG นำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อลดของเสีย
  • วัตถุดิบ โดยไม่ใช้แรงงานที่ประเมินกฤหมาย เรื่องวัตถุดิบที่มาจากการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

Outlook Q4/2024-2025

  • Q4 ปกติเป็น Seasonal ของ KCG เชื่อว่าเป็น new high ทั้ง Top/Bottom line
  • Raw mat. Q4/2024 มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ปัจจุบัน Raw mat.ที่ซื้อสูงกว่าปีที่แล้วอยู่แล้ว แต่ KCG สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี บวกกับประสิทธิภาพจากด้านอื่นอีก เพื่อ maintain ตัวกำไรที่ดีขึ้น
  • Q4 มี Economy of scale ที่จะสามารถไป Compensate ตัวต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นได้
  • SG&A มีการปรับค่าใช้จ่ายต่างๆลดลง ปีหน้าจะมี Logistic part ใช้งาน 100% ทำให้ตัวต้นทุนการบริหารจัดการดีขึ้น
  • ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้น 400 บาท จะมีผลกระทบ 0.1% ของต้นทุนการผลิต
  • Raw mat. ที่ปรับตัวสูงขึ้น KCG จะทำปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต, การ ปรับปรุง Utilization , การบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น เพื่อช่วยทำให้ %GP ยังคง maintain ได้
  • Supply chain management มีการบริหารตามกรอบ ESG ทั้ง Supplier ที่มีผลกระทบกับ ESG การลดก๊าซเรือนกระจก โดยการลดการขนส่ง และการขนส่งขากลับจะไม่ตีรถเปล่า ใช้รถไฟฟ้าในการขนส่ง เป็นการลดต้นทุนด้วย
อื่นๆ จากการถามตอบ
  • สินค้า Ready to eat 
  • B2B มีลูกค้าเพิ่ม แต่เปิดเผยไม่ได้
  • Raw mat. Q1/2025 ราคาใกล้ กับ Q3-Q4/2024 (สูงกว่าปี 2022 แต่ GP เราดีกว่า 2022)
  • Biscuits เติบโตสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วแน่นอน
  • U-rate Avg. 60%
  • After you เป็นลูกค้ารายหลัก และเป็นลูกค้าที่ดี
  • สินค้า Existing ทุกตัวมีการเติบโต ตาม GDP ของประเทศ แต่ตลาดต่างประเทศมีโอกาสเติบโตสูงมาก
  • การบริหารการจัดการ KCG เชื่อว่าสามารถทำ new high ได้อีกรอบทั้งกำไร และยอดขาย

MAGURO - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

ประวัติ

  • 2015 เปิดสาขาแรกด้วยแบรนด์ MAGURO และเปิดสาขามาต่อเนื่องเนื่องจากความนิยมในตัวแบรนด์ ปัจจุบันมี 18 สาขา ใน กทม ปริมณฑล
  • 2021 เปิดแบรนด์ที่ 2 คือ SSamthing Together
  • 2022 เปิดแบรนด์ที่ 3 คือ HITORI SHABU ปัจจุบันมี 10 สาขา
  • 5 Jun 2024 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai


การให้บริการของ MAGURO 2 แบบ คือ 

  • ร้านอาหาร 
  • บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่


การดำเนินงานเปิดสาขา ตามตาราง



กลยุทธ์และการเปิดแบรนด์ใหม่ 2025

  1. แผนเพิ่ม SSSG (Existing Brands Same Store) เช่น เพิ่มเมนูน้ำ, ของหวาน ไอศครีม เอาระบบ CRM เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลฐานลูกค้า และเพิ่มการกินซ้ำของลูกค้า,บัตรสมาชิกลูกค้า
  2. แผนขยายแบรนด์เดิมที่มีอยู่แล้ว (Existing Brands New Store) ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ
  3. Value Chain Optimization ควบคุม Cost ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด มีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในกรอบ ทำ ESG เทรนด์การรักษ์โลก
  4. สาขาใหม่ (New Brand)

  • TOKKATSU AOKI ร้านหมูทอดญี่ปุ่น (หมูจิ้มเกลือ) นำเข้าแบบแฟรนไชส์ ใช้วัตถุดิบ Premium ทั้งหมูและข้าว น้ำมันที่ใช้ทอด ปีหน้าจะมีบทบาทสำคัญในภาพต้นทุน และ net profit ดีขึ้น
  • ALL DAY DINING (ยังไม่มีชื่อ) เป็นอาหารทางตะวันตก มีชาวออสเตรเลี่ยนมาช่วย เมนูมีความหลากหลาย (ปีหน้าเปิดเพิ่ม 1 สาขา)


ภาพรวมผลการดำเนินงาน
รายได้ 
  • เติบโต 64.9% CAGR 3 years (2021, 2022, 2023)
  • Q3/2024 เติบโต 33.2% YoY (มาจาก SSSG +0.5%, การขยายสาขา)
  • 9M/2024 เติบโต 26.8% YoY (มาจาก SSSG ลดลง -1.8%,  การขยายสาขา)
สัดส่วนรายได้ 
  • MAGURO 16 สาขา   56%
  • SSamthing Together 6 สาขา 30%
  • HITORI SHABU 10 สาขา 14%

กำไรขั้นต้น
  • 3/2024 GPM 47.5% (วัตถุดิบราคาลดลง, ความสามารถการบริหารจัดการ)
  • 9M/2024 …………
ค่าใช้จ่ายในการขาย SG = 26% to sale

ค่าใช้จ่ายในการบริหาร Admin = 9% to sale ตัวเลขนี้จะปรับลดลงเรื่อยๆ

กำไรสุทธิของบริษัท = 8.2% to sale โต 1.1% YoY จะเห็นตัวเลขเติบโตเรื่อยๆ เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่าย

ฐานะการเงิน
  • ตัวเลขสินทรัพย์เติบโตตามรูปแบบธุรกิจ มีการขยายกิจการ เพิ่มสาขาขึ้นทุกปี
  • ไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระดอกเบี้ย 
  • วงจรเงินสดติดลบ
  • อัตราการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
  • Cash flow จาก IPO จะสามารถเปิดสาขาได้เพิ่มในปี 68, 69 โดยไม่ต้องกู้
อื่นๆ
  • สร้างศูนย์อบรมเชพ
  • ราคาปลาแซลมอล ปีที่ผ่านมาขึ้นแรง กลยุทธ์ลดปลาแซลมอล ผู้บริโภคทานปลาแซลมอลน้อยลง
  • การเพิ่ม GP 
    • นำแบรนด์ใหม่เข้ามาเพิ่ม GP เนื้อหมูราคาต่ำกว่าปลาแซลมอล 
    • การบริหารจัดการครัวกลาง

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

TKN - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

Business Performance Q3/2024

ยอดขาย 

  • Q3/24 โต 1.6% YoY  3.1%QoQ
    • ในประเทศ 551 ลบ. เป็น New high และโต 11.9%YoY, 10.9% QoQ จากกิจกรรมออกสินค้าใหม่สาหร่ายปรุงรส เป็น Toping โดยขยายการรับประเทศควบคู่กับอาหาร,ใช้ idol marketing ภาคอีสาน เพื่อสร้างตลาด TT, จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เปิด)
    • ต่างประเทศ ลดลง -3.7% เนื่องจากการลดลงของจีน  ลดลง -15.1% (วันนี้ผู้บริโภคจีน มุ่งเน้นสินค้าจำเป็น ตัว food, Snack จะปรับตัวสูงขึ้น ยอดขายปีนี้ยอดขายทรงๆ ต่างประเทศอื่นๆ เติบโต 3.1%, ขยายช่องทาง US, อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และยุโรป ลดการถึงพาตลาดจีน, จัดกิจกรรมสื่อการขาย
  • 9M/24 โต 6.5% YoY
    • ในประเทศ โต 7.1%
    • ต่างประเทศ โต 6.1% จีน 9M ลดลง -10.7% ต่างประเทศอื่นๆ 9M โต 17%

สัดส่วนรายได้
  • สัดส่วนรายได้ ในประเทศ 38% 
  • สัดส่วนรายได้ ต่างประเทศอื่นๆ 42% 
  • สัดส่วนรายได้ จีน 21% 

ต้นทุน
  • Seaweed 38%
  • Packing 25%
  • ต้นทุนแรงงาน 19%
  • Overhead 9%
  • วัสตุอื่นๆ 9%

กำลังการผลิต U-rate 67% (Rojna 69% Nopawong 48%) ใกล้เคียงปีที่แล้ว

กำไรขั้นต้น 
  • Q3/24 ทำได้ 30.1% to net sale ลดลงจาก Q2 เนื่องจากมีต้นทุนสาหร่ายที่สูงขึ้น แต่มีการจัดการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี % to sale คงที่ และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

กำไรสุทธิ 
  • Q3/24 โต คิดเป็น 9.2% to net sale 16.4% to net sale YoY.  มีผลกระทบจากต้นทุนสาหร่าย แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบนี้ลดลงไปได้บ้าง เพราะมีการบริการต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าแรง การผลักดันสินค้าในช่องทางใหม่ ในช่องทางที่มีกำไรมากขึ้น ทำให้ลดผลกระทบของต้นทุน และทำให้ GP ดีขึ้น กว่าที่ควรจะเป็น การบริหารค่าใช้การจัดจำหน่ายหน่าย  และการบริหาร โดยรักษาระดับเท่าๆ เดิม และมีผลกระทบจากการขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน คิดเป็น 2.7% ของ Net sale 
  • 9M/24 คิดเป็น 16.4% to net sale และ โต 21% YoY (ในประเทศ โต xx% ต่างประเทศ โต xx%)

D/E เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จาก 0.45 เป็น 0.74 เนื่องจากการกู้ยืมเงินระยะสั้น เพื่อ Support working capital ของบริษัท


ตลาดจีน
  • สถานการณ์ของจีนยังเหนื่อยอยู่ วันนี้ผู้บริโภคจีน มุ่งเน้นสินค้าจำเป็น ตัว food, Snack จะปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่นำเข้า ทำให้คนจีนระมัดระวังการจ่ายเงินมากขึ้น ยอดขายปีนี้ยอดขายทรงๆ  ภาพร่วมของ FMCG ครึ่งปีแรกช่องทาง offline ลดลง -2.2%, online เติบโต 9.6% ภาพรวมทั้งสองช่องทางโต 1.9% ซึ่งไม่ได้ดีกว่าที่คิด มีการลดตัวของ Store ต่างๆ ที่ช่องทางจำหน่ายของ TKN ปิดตัวลง
  • แต่มีช่องทางใหม่ที่เติบโตสูง Super ming, MINISO ทาง TKN ก็แทรกซึมเข้าไปในช่องทางเหล่านี้  ช่องทางนี้เน้น Money for money มากๆ พวกสินค้า brand name ราคาแพงจะเหนื่อยหน่อย  ต้องมี Promotion ต้องมี Connection ที่แข็งแรง  ของ TKN เน้นคุณภาพสินค้า ราคายุติธรรม ไม่ได้ถูกเท่าสินค้าจีน แต่พยายามใช้ Marketing ออกเฟเวอร์ใหม่ ไม่ให้ Product นิ่ง
  • ออกสินค้าใหม่ Y2024 ครึ่งปี มีสินค้าใหม่ๆ รสชาติไปทางมะพร้าว มะม่วง หรือ มุ่งเน้นทาง Healthy  เช่น Ping salt, หรือทาง Fun Excited flavor
  • ไปออกบูช ร่วมกับโรงแรม ร่วมกับร้านอาหารในจีน
  • ช่องทาง E-commerce ในช่วงที่ผ่านมาติดยอดขายสูงอยู่ที่ 2 แต่ตก -7% แต่สินค้าเจ้าๆ อื่นก็ตกเหมือนกัน แต่ตกมากกว่า
  • การทำ Marking ช่วง Chinese new year 2025 ทั้ง offline, online

ตลาด US market

  • ALDI ซึ่ง work กันมานาน 120 Stores 
  • Walmart 1200 Stores (4 SKU) เป็นความภาพภูมิใจของไทย เปิดมา 4 ตู้ และเติม 5-6 ตู้ เดียวดูระยะยาวว่าจะเป็นยังไง เพราะมีลูกค้าจีนที่ Walmart
  • Kroger 800 Store รอดูระยะยาวว่าจะเพิ่มขายังไงได้บ้าง


EU market

  • เยอรมัน มีการขยายสินต่างๆ 
  • ฮอลแลนด์ ขยายไปช่องทางหมายเลข 1 และ 2 จำนวน 1200 Stores 

สถานการณ์ราคาสาหร่าย
2025 เกาหลีอนุมัติขยายพื้นที่เพาะปลูกไปแล้ว ทำให้ Supply มากขึ้น แต่ปริมาณ Stock ที่ทำสาหร่ายในเกาหลี อาจจะทำให้ demand supply เท่าๆ กัน


คุณต๊อบเริ่มพูดเสริม

เรารู้แล้วว่าช่องทางเก่าของจีนเริ่ม Decline ถดดอยลง และพยายามเพิ่มช่องทางใหม่ ที่ต้องเน้นของจีน ให้ TKN กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเพิ่มช่องทางการขายที่ถูกที่ถูกทาง โดยรู้แล้วว่าจะไปช่องทางไหน และให้ใคร ต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย 

ตลาดจีนต้องเน้น Innovation ที่เป็น NPD เพิ่มขึ้น ปีนี้ออกมาประมาณ 7 ตัว ยอดขายประมาณ 1500 ล้าน ซึ่งจะน้อยไป เทียบกับไทย ประมาณ 2000 ล้าน มี NPD เกือบ 30 ตัว รวมพวก special pack ด้วย แม้เศรษฐกิจดีไม่ได้ แต่ TKN เติบโตได้ดี เพราะเกิด NPD มาหลากหลาย โดยกลยุทธ์นี้จะมาใส่ที่จีนมากขึ้น โดยคุยกับ distributor แต่ไม่ได้หวือหว่า แต่กลับมาในระดับที่ดีขึ้น


Outlook Q4 

  • รายไดในประเทศยังเติบโต ประเทศอื่น ยังโต แต่จีนยังทรงตัว โดยรวม TKN น่าจะโต 6-7% แต่ถ้าจะมากกว่านี้ ถ้าเดือนนี้กับเดือนหน้า Order มาแรงขึ้น โอกาสโตจะมากขึ้น
  • ประเทศที่คิดว่าจะโตยากอย่างไทย แต่ก็โต 2 digi 
  • ตั้งแต่โควิดมาก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • จีน ได้รับผลกระทบเรื่องต่างๆ
  • ประเทศอื่นๆ รวมๆกันทำได้ดีอยู่ เมื่อเทียบกับก่อนโควิด ซึ่ง 4-5 ปี TKN โตมาเกือบ 2 เท่า และมี Room การโตอีกมาก แต่โชคไม่ดีที่ต้นทุนสาหร่ายสูงมากจริง บาง Spec ขึ้นไปเกือบ 100% จึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ จากเชิงรุกมากๆ ปรับเป็นบาลานซ์ให้มากขึ้น เพราะไม่มีแนวคิด Burn margin เพื่อเอายอดขาย พยายามบาลานซ์ให้มั่นคง ยั่งยืน
  • Q4/24 ตัว Gross magin อาจจะจะลดลงกว่า Q3 เพราะรับรู้ต้นทุนการผลิตเกือบทุก SKU และมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และ Q4 TKN ต้องปรับตัวเพื่อลค่าใช้จ่าย ข้อเท็จจริงที่ต้นทุนสูงขึ้น เงินบาทผันผวน และสิทธิ BOI ที่หมดไปในบางไลน์ผลิต ปกติช่วย save ภาษีประมาณ 100 ลบ.
  • ตอนนี้เริ่มปรับกลยุทธ์ โดยปรับราคาสินค้าบางรายการ ประมาณ 5-10% โดยเริ่มในประเทศก่อน โดยเริ่มประมาณ Q1/25
  • ในรอบ 20 ปี เป็นปีที่ไม่เคยเจอวัตถุดิบสาหร่ายมันเปลี่ยนแรงขนาดนี้ ประเด็นเรื่องสาหร่าย ไปเจอ Supplier 6 เจ้าที่เกาหลี โดย Productivity สาหร่ายจะเพิ่มขึ้น 5-10% โดยรัฐบาลเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น เพราะเขากระทบผู้บริโภค พ่อค้าแม่ค้าของเขาเหมือนกัน แม้ Supplier เพิ่มขึ้น แต่บริษัทต่างๆ เขา Stock น้อย เพราะราคาสูง ดังนั้นพอเปิดฤดูกาลมีความเสี่ยงที่ราคาสาหร่ายเพิ่มขึ้น เพราะทุกคนต้องการซื้อ
  • วัตถุดิบช่วงแรกต้นฤดูกาลจะไม่กระทบมาก ปกติซื้อช่วงกลางฤดูกาล – ปลายฤดูกาล 
  • ราคาสาหร่ายจะลงหรือขึ้น อยู่ที่ Demand-Supply ของเกาหลี แต่ดูแล้ว Supply เริ่มสูงขึ้น  และความการปลูกของญี่ปุ่น และจีนว่าปลูกได้ปกติไหม เพราะก่อนหน้านี้ญี่ปุนปลูกไม่ได้เลย เขาจึงซื้อซื้อทุกราคา ซึ่งปกติญี่ปุ่นราคาสูงอยู่แล้ว แต่พอมาซื้อกับเกาหลีซึ่งไม่กระทบกับญี่ปุ่น สถานการณ์นี้ไม่ปกติ ซึ่งราคานี้เกิดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

Direction Y2025
ตลาดในประเทศ 
  • จะเพิ่มช่องทางของ Tourist นักท่องเที่ยวมาเยอะและจ่ายเยอะ 
  • โดยเพิ่ม SKU ใหม่ เพิ่มช่องทางใหม่ กลยุทธ์หลักๆ คือปรับโครงสร้างราคาสินค้า ปรับสัดส่วนสินค้า และปรับ Promotion บางตัว 
  • ตัดสินค้าบางตัวที่ไม่ใช้ Key SKU 
  • โฟกัสค่าใช้จ่ายทางการตลาด

ตลาดต่างประเทศ
  • ปรับโครงสร้างราคาสินค้า
  • เพิ่ม SKU เพิ่ม Product ใหม่ ที่เพิ่ม GP
  • โฟกัสค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สร้างยอดขายได้เหมือนประเทศ

ภาพรวม
  • พัฒนาสินค้า TKN ใหม่ที่ใช้สาหร่ายน้อยลง โดยเริ่มตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่ต้องใช้เวลา ตอนนี้เริ่มเห็นทางแล้ว และปีหน้าสามารถออกได้ โดยใช้สาหน่ายน้อยลง แต่ยังคง Scale ได้ในประเทศและต่างประเทศ 
  • พัฒนาการปรับปรุงไลน์ผลิตใหม่ และขอสิทธิ์ BOI ใหม่ เพิ่อทดแทนบัตรเก่า
  • เพิ่มระบบ Automation เพื่อเพิ่ม Productivity 
  • ราคาสาหร่ายตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด หากราคาสาหร่ายไม่ลดลงอย่างที่คิด จะต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ให้เหมาะสม


วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

CHAO - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

Business Performance Q3/2024

  • รายได้ Q3 โต 32.4% QoQ , โต 20.3% YoY  
  • Thailand  โต13% QoQ,  โต 19.2% YoY
  • Export โต 94.6% QoQ,  โต 22.4%YoY) 
  • อัตรากำไรขั้นต้น 37.6% โต 32%QoQ, โต 13% YoY
  • ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Q2
  • กำไรสุทธิ โต 62% QoQ, ลดลง -8.8% YoY (ควบคุม SG&A ได้ดี และปีที่แล้วเกิดจากค่าใช้จ่ายการเข้าตลาด) 

 

Business Performance 9M/2024

  • รายได้โต 7.6% YoY
  • อัตรากำไรขั้นต้น 37.4% โต 9% YoY 
  • กำไรสุทธิ ลดลง  -3.5% YoY


Business Outlook Q4/2024-2025

ในประเทศ

  • จะมีสินค้าเพิ่ม 12-15 SKU (ข้าวอบกรอบ mini, หมูแท่ง, ข้าวตังไรท์เบอรี่) ช่วง Q4/2024
  • ทำ online marketing
  • Massive special display (พื้นที่จัดเรียงพิเศษ) ใน MT สำหรับกลุ่มที่ไม่ได้วางแผนซื้อจากบ้าน, สร้าง Display ตกแต่งพื้นที่วาง สร้างความโดดเด่น มีพื้นที่พิเศษ ใน MT และ TT ของ Big C, Lotus, 7-eleven, MAKRO ร้านของฝาก ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
  • ขยาย Distributors ของกลุ่ม TT จาก 12 รายเป็น 25 ราย ช่วง Q3-Q4 มีรสที่ขายตามร้านค้า 60 คัน กระจายไป 31,590 ร้านค้าต่อเดือน เน้นตัว 20 บาท จากเดิมการโตกลุ่ม TT ติดลบ หลังจากทำแล้วโต ต่อเนื่อง
  • สินค้าข้าวตัง 20 บาท  4 สินค้าหลักโดยเพิ่มปริมาณ จาก 30g เป็น 42g ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 194% ทำให้สร้าง Base line ใหม่ 
  • เพิ่มสินค้า 20 บาท รุ่นเพิ่มปริมาณ อีก  SKU เป็น 9 ตัว  (ปัจจุบันมี 5 SKU) ใน Q4 จะมีเพิ่มอีก 4 ตัว

ต่างประเทศ

  • ต้นปีส่งออกไป 10 ประเทศ , ครึ่งปี 12 ประเทศ ตอนนี้ไปส่งไปประเทศใหม่รวมเป็น 21 ประเทศ ภายในสินปีนี้
  • ประเทศหลักๆอย่างจีน เปิดลูกค้าใหม่ คือ ขายตรงเข้าห้าง Herma ซึง่งมี 360 สาขา มี first shipment 
  • ในจีน มี One distributor (SKL) ที่กระจ่ายไป offline & online ไป retails ส่งไปแล้ว 3 shipments (SEP, OCT, NOV) 
  • ส่วนลูกค้าจีนเดิม same club ตัวหนังปลารสไข่เค็ม กำลังเสนอรสชาติใหม่ๆ จะมีสินค้าใหมปลาแท่งขายปีหน้า ,shipment ออกปีนี้ และนำเสนอแผนปีหน้าให้ลูกค้า คือ 2 SKU กลุ่มข้างตัง 
  • US เป็น OEM ตัวเดียว มีช้าบ้างสำหรับตัวนี้ (เราการตลาดไม่ได้เป็นเพราะ OEM และลูกค้ายังมี Stock อยู่)
  • ใน US ทำ JV ตั้งบริษัทย่อย ใน US เป็นแบรนด์เจ้าสัว USA เข้า Asian supermarket เราสามารถทำ Marketing ได้ดีกว่า นำเสนอสินค้าแล้ว และจัดเตรียม Production จะเร่งให้ทันใน Q4 นี้
  • อินโดนีเซีย ส่ง First shipment ดือน JUL และNOV สั่งเพิ่มแล้ว
  • UAE ลูกค้าคนเดียว ส่ง First shipment ดือน JUL และ NOV สั่งเพิ่มแล้วเพื่อนส่งไปซาอุดิอาระเบีย
  • ฟิลิปปินส์ ห้าง Retails ส่ง First shipment เดือน JUL และNOV สั่งเพิ่มแล้ว / ลูกค้าอีกสองราย Ship ไปแล้ว เดือน SEP, OCT
  • ห้าง Retails ส่ง First shipment ดือน JUL และNOV สั่งเพิ่มแล้ว
  • มาเลเซีย, สิงคโปร์ บรูไน ข้าวตัง สินค้า กลุ่มฮาลาล ส่ง First shipment เดือน SEP , เดือน OCT, NOV สั่งเพิ่มแล้ว
  • เวียดนาม เราเจรจนาน first shipment เริ่มเดือน Nov จะเริ่มช่องทาง TT ก่อน เป้าหมายเข้า MT จะตามมาทีหลัง
  • ใต้หวัน แต่งตั้ง Distributor แล้ว Fist shipment เข้าต้นเดือน JAN 25
  • แคนาดา เข้าห้าง T&T เป็นห้าง Asian ค่อนข้างใหญ่ จำนวน33 สาขา
  • เกาหลีใต้ มีลูกค้าช่วง Q2 ช่องทาง TT ก่อนแล้วขยายการขายค่อนข้างดี และจากนั้นเข้า Convenience store เอาสินค้าเข้าได้ 2 SKU แล้ว
  • ทีมงานเดินทางไปฮ่องกง เพื่อคุยกับลูกค้า

Process improvement 

  • ทำ Solar rooftop ทำ Cost saving
  • ทำระบบ Automation Machine ลดแรงงาน – 2025
  • แผนสร้างโรงงานไปตามแผนอยู่  (DEC 25)

สินค้าใหม่ Q4/2024 

  • ข้าวอบกรอบ mini size มี 2 รสชาติ เพื่อแก้ pain point คนที่ไม่กินข้าวตังชิ้นใหญ่
  • ข้าวตังไรท์เบอรี่ ตอบโจทย์กลุ่ม Premium 
  • หมูแท่ง 4 รสชาติ
  • คอลแลปกับไก่ย่าง 5 ดาว
  • กุนเชียงกรอบพร้อมทาน กินข้าวก็ได้ กินเป็น Snack ก็ได้
ตั้งเป้า 2025
  • โต Top/Bottom line 20%
  • ในประเทศตั้งเป้าโต 14% Export ตั้งเป้าโต 37%


ที่มา :
https://www.youtube.com/live/q7N3djn9o9k?si=d9KpaB5Yzd8jbBOA



วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ITC - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

ผลงาน Q3/2024

  • ภาพ Q3 รายได้โต 10.9%YoY (เป็นการเพิ่มจาก Volume 3.2%, Premium mix 3.8% ราคาขาย 4.1% และมีอัตราแลกเปลี่ยนเล็กน้อย) GPM 29.8%, โต 72% , NPM 22% โต 50% 
  • ภาพ 9M รายได้โต 20.3% GPM 28%, โต 87% , NPM 21.5% โต 85.3% (มาจาก US, Europe , เอเชีย และมีลูกค้าใหม่เพิ่ม 21 ราย)
  • สัดส่วนลูกค้า (US 50%, Europe 16% Asia & Oceania 34%) 

1) 9M US รายได้ เติบโต 21.3% ส่วน Volume โต 1.4% โตมาจาก Global brand (มีเพิ่มรายที่ 4)  และ Retailer ยักษ์ใหญ่ (จบปีนี้จะ Double จากปีที่แล้ว) ใน US

2) 9M Europe รายได้เติบโต 75.7% ส่วน Volume โต 91% (มีลูกค้ารายใหม่เพิ่ม) UK , ลูกค้าอิตาลีและฝรั่งเศษรายใหม่

3) 9M Asia & Oceania รายได้โต 3.8% ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องค่าเงิน จึงซื้อไม่ได้ต่อเนื่อง โซนนี้มีลูกค้าออสเตรเลียเพิ่มมาเป็นความหวังใหม่

  • ราคาทูน่ามีแนวโน้มลดลง
  • ราคาไก่มีลักษณะทรงๆ ทำ Forward contract บางส่วนไว้, ทำให้รักษาต้นทุนได้ดี และ GPM ดีขึ้น
  • ค่าเงินไม่มีผลกระทบใน Q3 
  • อะลูมิเนียม ไม่มีความแตกต่างกับ Q ที่แล้วมากนัก
  • CCC 146 วัน มีแนวโน้นมลดลงเรื่อยๆมี 5 ไตรมาสแล้ว 
  • ไม่ได้กู้เลย IBD = 0
  • ความคืบหน้า Project สามารถสร้างได้ตามแผน Warehouse ระบบ ASRS ที่สงขลา เปิดปลายปีหน้า ถ้าเปิดได้จะเป็นระบบ Automation เงิน 1.3 พันล้านบาท, payback 8.4 ปี

Outlook
  • ปีหน้า US จะคุยกับ Global brand มีเพิ่มรายใหม่รายที่ 4 ทำ Product pipe line 2 ปี เริ่มปีหน้า 
  • ปีหน้า Retailer US รายใหญ่ๆ ที่จะทำกลุ่ม Premium ตอนนี้เริ่มพูดคุยกันแล้ว ปีหน้าจะออกดอก ออกผลกัน
  • UK และเยอรมัน  จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มเป็น Retailer 
  • ขาย Retailer ออสเตรเลีย (wet dog food)
  • ขายสินค้าเพิ่มให้ อินเดีย เป็นอาหารแมว

ปีนี้คาดว่าสิ้นปี 
  • Sale growth 15-17%
  • GPM 26-28%
  • SG&A to sale 8-9%
  • CAPEX 1.4 พันล้าน ใช้ไปแล้ว 800 ล้านบาท
  • ปันผลอย่างน้อย 50% ของกำไรสุทธิ
  • Growth ของผู้เล่นรายใหญ่ 9M การโตเฉลี่ย  4% แสดงให้เห็นอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงโตต่อเนื่อง

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

DOHOME - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

ผลงาน Q3/24

  • รายได้ Q3/24 ลดลง -0.5% SSSG Q1= -9%, Q2= -5%, Q3= -4.5 (ภาคใต้-ภาคตะวันออก ยอดขายที่ทำได้ดี, ส่วนภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน เริ่มดีขึ้น)
  • GP โตมานิดหน่อย 15.5% เป็น 16.4% 
  • ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น YoY (จาก New store) แต่ควบคุมได้
  • EBIDA margin โต 6.5%
  • Net profit margin  โต 1%
  • CCC 159 วัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
  • DOHOME Market share Modern trade อยู่ที่ 25-26%

Outlook
  • เดือน 10 กับ 11 มี SSSG = เป็นบวกเล็กน้อย เริ่มเป็นสัญญาณดี ดีทุกภาค ดีทุกๆ Category ดีทุก Channel (การเบิกจ่ายจากรัฐบาลดีขึ้น, งานผู้รับเหมาเยอะขึ้น,  ภาคเกษตรกรหลังฤดูเก็บเกี่ยวช่วง Q3 และช่วง Q4 จะเริ่มกลับมาใช้เงินซ่อมบ้าน)
  • Store ใหม่ เชียงราย อยุธยา ลำพูน ตั้งแต่ต้นปีมา ยังไม่ได้ตามเป้า แต่ Q3-Q4 มีทิศทางค่อนข้างดีมาก โดยเฉพาะเชียงราย
  • ตอนนี้ GP เริ่มกลับมาเป็น 17% แล้ว 
  • ราคาเหล็กค่อนข้าง Stable ทำให้ GP เหล็กสูงขึ้น
  • ปัจจุบัน มี 24 สาขา เปิดล่าสุดสาขาลำพูน เดือน 3-4 แล้ว
  • แผนปีหน้าเปิด 3 สาขา  size L มีที่ดินเรียบร้อยแล้ว (Q2= 2 สาขา อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และ Q4 = 1 สาขา อยู่ระหว่างออกแบบ ) รวมจะเป็น 27 สาขา ในปีหน้า งบลงทุน 400-450 ล้านบาทต่อสาขา ,งบการลง Inventory  250 ล้านบาท ต่อสาขา
  • โฟกัส Lessing model จะดีเรื่องการซื้อ จะทำให้ Cash ของ DOHOME ดีขึ้น
  • ปรับปรุงสาขา 3 สาขา ทำให้ Friendly กับลูกเข้าถึงมากขึ้น (บางบัวทอง พระรามสอง โคราช) ทำให้ยอดตกบ้างช่วงปรับปรุงสาขา
  • สาขา size เล็ก ปัจจุบันมี 15 สาขา (Q3 เปิด 2 สาขา, คือ สาขาซอยวัดพระเงินนนทบุรี และสาขาบ้านกล้วย นนทบุรี ) มีการ Revise business model ใหม่ ทำให้การเปิดสาขาใหม่มีการคืนทุนดีขึ้น และจะ Break even ภายในเดือนที่ 1 หรือ 2 จะ Break even 
  • House brand product 9M มี 19% ตกจากปี 22-23 เพราะน้ำท่วม  ผลักดันผ่านทางสร้างแบรนด์ 
  • ตอนนี้ กลับมา 20% แล้ว
  • Home service นายช่าง มียอดขายโตตลอด มีทีม designer ทีม service ทีมช่างที่ผ่านมาตรฐานฝีมือแรงงาน มีการเติบโตมากกว่า 100%
  • Online channel  มีการเติบโตของ Sale มากกว่า 50-60% YoY 
  • การทำ Marketing ทำร่วมกับ KTC, กสิกร, การทำครวบครัวช่าง เรารู้ว่าช่างต้องการอะไร ยอดจากช่างก็โตมาเพิ่มพอสมควร
  • การที่จีนมาเปิดโรงงานเหล็กในไทย เป็นผลดีกับ DOHOME ทำให้สามารถเลือกสินค้าได้

Value DOHOME
ครบ ถูก ดี

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=M2PD6dDFUz4
https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/DOHOME/company-profile/oppday-company-snapshot

SUN - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

ผลงาน 9M

  • รายได้ 9M ลดลง -12.2% (Q3/24 ,Q4/24 ,Q1/25 ลูกค้าจะเริ่มออเดอร์แล้ว)
  • กำไรขั้นต้น 22.1 % (20% ต่อเนื่อง เพราะประสิทธิการผลิต, ค่าเงินอ่อนค่าลง)
  • กำไรสุทธิ 9M โต 8.9% 
  • Q3/24 มีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ที่จริง SUN มีแผนการผลิตแบบนี้ และจะค่อยๆ ลดลง Q4/24-Q1/25 เนื่องจากไม่สามารถผลิตได้ เพราะเกิดจากภาวะภัยธรรมชาติ โดยจะเตรียมสินค้าให้ได้ 1.4 เท่าของยอดขายรายเดือน
  • SUN มีสัดส่วนการส่งออก 80%
  • รายได้หลัก 50% เป็นข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋อง (Canned Sweet Corn)
  • สินค้าข้าวโพดหวาน SUN มี Market Share 5% 2,832 ล้านบาท และโต 1%
  • ผู้นำเข้าทั้งโลกญี่ปุ่น 10%, เยอรมัน 9%, UK 9%, อเมริกา 5%, เบลเยียม สเปน เกาหลี 4%, อิตาลี 3% ส่วนใหญ่ยยุโรป 30% เอเชีย 20%
  • ผู้ส่งออกอันดับ 1 คือ ฮังการี 18% อับดับ 2, ไทย 16%, อันดับ 3 จีน 14%,อันดับ 4 ฝรั่งเศษ 13%
  • SUN ส่งออกไป 54 ประเทศทั่วโลก 200 กว่าบริษัทลูกค้า ในเอเชียมากกว่า 50%  (ญี่ปุ่น เกาหลี ใต้หวัน ออสเตรียเลีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง

Outlook
  • สินค้าพร้อมทาน (Ready to Eat Products) มี 15 item เพิ่งออกมา 2-3 item จะพัฒนาให้มีอายุมากกว่า 1 ปี เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ จะเริ่ม Q2/25 
  • SUN โดนตั้งภาษีนำเข้า โดนมา 15 ปีแล้ว และจะหมดอายุช่วงธันวาคม ถ้าตัวนี้หมดไป SUN จะสามารถส่งข้าวโพดหวานไปยุโรปมากขึ้น
  • โครงการ Mini Factory หลังที่ 2 เน้นผลิตสินค้า Ready to Eat สำหรับตลาดในประเทศ และพัฒนาให้ส่งออกได้ด้วย จะเสร็จ Q1/25  ( (ค่าเสื่อมโรงงาน 20 ปี เครื่องจักร 10 ปี )
  • อาคาร KC เดิมจะปรับปรุง และก่อสร้างเพิ่มเป็น Warehouse , Office และห้องประชุมต่างๆ
  • ลงทุนและร่วมมือกับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดใหม่สำหรับบรรจุข้าวโพด คือ เป็นกระดาษที่มาสามารถ Recycle ได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยจะทำสินค้าตลาดบน สามารถส่งไป Super market ในญี่ปุ่น และยุโรปที่ใน เน้นเรื่องนี้ เพราะประเทศเหล่านี้จะชอบแบบนี้ (คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่ม 300-500 ล้านต่อปี) จะมีการผลิตได้ 10 เดือนหลังจากนี้

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

IT - Q3/24 และ Outlook Q4/24 ถึง 2025

ผลงาน Q3/24
  • รายได้ 9M โต 11% (SSSG +7.4%, เปิดสาขาใหม่ +10 สาขา ปัจจุบันมีสาขารวม 330  สาขา แบ่งเป็น IT City 144, CSC 91, ACE &IT 12, Brand shop 83 ) โตจากสินค้าที่เป็น AI, โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ให้สินเชื่อกับผู้ซื้อ, Trade in Trade up (แลกเครื่องเก่า)
  • สัดส่วนรายได้ (Retail 91%, Online 5%, B2B 4%)
  • สัดส่วนรายได้ตาม Category (Smartphone 58%, สินค้า IT 27%, Accessory- มือถือ 13%, Accessory -IT 7%, SIM เปิดเบอร์ ใหม่ 2%)
  • การเติบโตตาม Category (Smartphone โต 18%, สินค้า IT ลดลง -1% %, Accessory  มือถือ โต 18%, Accessory โต 5%, SIM ลดลง -5%)
  • กำไรสุทธิ 9M โต 184% (ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรโตมากกว่ารายได้ มี 2 ปัจจัย
    • ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ลดลง 0.9% เพราะปิดสาขาที่ไม่มีกำไร 11 สาขา,  ส่วนสาขาที่มีอยู่จะผลักดันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ fix cost  ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า ทำให้ break even
    • การเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น โต 0.6% เพราะขาย Accessory ที่เป็น House brand คือ Wife ที่มี GP สูง

Outlook

  • Q4 จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 11 สาขา 
  • Online (Shopee, Tiktok) รายได้โต 141% ยังมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะ Smartphone และ Accessory- มือถือ
  • Q4/24 - 25 ผลักดัน Accessory- มือถือ, เพิ่ม SIM ของ AIS เข้ามา รวมมี 3 เจ้าแล้ว TRUE, DTAC, AIS

Growth driver 
  • IT City มี Market size 5.7% ของ Thailand Smartphone Market (Q2-24 มี share 5.3%)
  • ตลาด Smart phone โต 0.8% แต่ IT City โต 15.4%
  • จะเพิ่มยอดขาย ขยายสาขา ขยายช่องทางการขาย
  • เพิ่มช่องทางการผ่อนชำระ จับมือกับ Partner มีสัดส่วน 30-35% มีโอกาสเพิ่มไปอีก
  • โปรแกรม Trade in Trade up มีการเพิ่มผู้ขายอย่าง AIS โดยการ Turn เครื่องเก่า เป็นส่วนลดให้เครื่องใหม่ คาดมีสัดส่วนนี้จะมีนัยยะในปี 25
  • Q4 เป็นช่วง High season ของตลาด Smartphone OPPO, Samsung, Xiaomi
  • กลุ่มแบรนด์ Wife สินค้า House brand ที่ IT นำเข้ามาเอง มีการเติบโต 57% YoY มีสินค้าหลากหลาย 200 SKU 
  • กลุ่มสินค้า IT พวก AI มีการเพิ่มตัวสินค้า House brand  ของ Wife ทำให้ GP สูงขึ้น
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=DCZj1Y_kDH4
https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/IT/company-profile/oppday-company-snapshot

ความเห็นส่วนตัว

กลยุทธ์การเติบโตของบริษัท จะไม่เสี่ยงมาก ตามหลักการของวางแผนขยายธุรกิจด้วย Ansoff Matrix จะเป็น กลยทุธ์เจาะตลาดที่บริษัทใช้ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ในตลาด หรือเรียกได้ว่าเป็นการพยายามเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด หรือ Market share นั่นเองเพราะเป็นการขายสินค้าที่ตนเองถนัด และอยู่ในตลาดเดิมๆ โดยการเพิ่มช่องทางการขายทั้ง offline และ online หรือ 
การออกโปรโมชันใหม่ๆ และหาช่องทางการกระจายสินค้าใหม่ๆ

เครดิต : https://www.popticles.com/business/expand-your-business-with-ansoff-matrix/





TAN - Business model canvas by Weevalue

ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ที่เกิดจากการศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ได้แนะนำซื้อหรือขายทั้งสิ้น ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตัวเอง



วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

JPARK - Business model canvas by Weevalue

ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ที่เกิดจากการศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ได้แนะนำซื้อหรือขายทั้งสิ้น ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตัวเอง



วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

BBGI - Business model canvas by Weevalue

 ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ที่เกิดจากการศึกษาด้วยตัวเอง 


ไม่ได้แนะนำซื้อหรือขายทั้งสิ้น ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตัวเอง




วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณภาพกำไรของบริษัทที่ไม่ลิดรอนสิ่งแวดล้อม

ไอเดียผมซึ่งมองระยะยาวหน่อยครับ สรุปจากการฟังบรรยาย เป็นภาษาของตัวเอง

นอกจากการดูคุณภาพกำไรที่มีคุณภาพในด้านการดำเนินธุรกิจ หรือการไม่ตกแต่งกำไรแล้ว ยังมีคุณภาพกำไรของบริษัทที่ไม่ลิดรอนสิ่งแวดล้อม ที่ต้องนำมาพิจารณาในอนาคตด้วย

เพราะอะไรเหรอ? เนื่องผู้มีส่วนได้เสีย จะเน้นเรื่อง สิ่งแวดล้อมมากขึ้น อันเนื่องจากภาวะโลกร้อน

1. ผู้บริโภคจะยอมจ่ายเกี่ยวกับสินค้ารักษ์โลกมากขึ้น ยิ่งในยุโรปจะมีการกีดกันทางการค้ามากขึ้น

2. พนักงานที่จะเข้ามาทำงาน จะต้องมีนิสัยรักษ์โลก เพราะภาวะโลกร้อน ถ้าบริษัทไม่ทำ ESG พนักงานที่มีคุณภาพ เก่ง ดี .....อาจจะไม่มาทำงานกับบริษัทที่ไม่ทำ ESG

3. Partner การที่เราจะร่วมทุน หรือร่วมลงทุนกับใคร Partner อาจจะพิจารณาถึงบริษัทที่ทำ ESG มากขึ้น

4. ธนาคารผู้ให้กู้เงิน ก็จะพิจารณาเกี่ยวบริษัทที่ทำ ESG จะยอมปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่ทำ ESG อาจจะปล่องกู้มาก หรือน้อย การเข้าถึงต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง

5. ผู้กำกับหน่ายงานต่างๆ เช่น กลต. จะยอมรับในบริษัทที่ทำ ESG






ที่มา : จากการฟังบรรยายหัวข้อ “กฎกติกา ข้อบังคับ ด้านสิ่งแวดล้อม และ ทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคตโดย ดร.สวนิตย์ บุญญาสุวัฒน์ ศรีเลิศฟ้า ม.เชียงใหม่

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567

AU - Business model canvas by Weevalue

ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ที่เกิดจากการศึกษาด้วยตัวเอง 

ไม่ได้แนะนำซื้อหรือขายทั้งสิ้น ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตัวเอง






ไอเดียของคุณฮง มองช่วงวิกฤติ (โควิด ปี 2020)

ปกติแล้วเนี่ยถ้าเราลงทุน ตลาดหุ้นเป็นเหมือน Financial sector แต่เศรษฐกิจจริงเหมือน Real sector ความแตกต่างสองอย่างนี้คือว่า สมมติว่าเรามองว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี กว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาไม่ดีจริงมันจะต้องรอค่อนข้างจะนานกว่า การจ้างงานจะลด กว่ากำลังซื้อจะลด จะสะท้อนความมั่นใจของคนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยลง การจับจ่ายใช้สอยน้อยลง


ถ้า Financial sector ถ้าคนมองไม่ดี คนจะกดปุ่มขายหุ้นทันที หุ้นจะลงเลย ต้องบอกว่า Financial sector จะเป็นตัว Lead เศรษฐกิจ ไม่ใช้เศรษฐกิจเป็นตัวนำ ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนมองหาว่า GPD จะติดลบเท่าไร มันเป็นในอดีตว่ามันไม่ค่อยมีความหมายอะไร ในที่การคำตอบสิ่งนั้น ผมไปอ่านวิจัยของ US มาเขาเก็บตัวเลขทุกครั้งที่เศรษฐกิจ US ทดทอย โดยเก็บตัวเลข 1929-2000 ถ้าเศรษฐกิจทดทอยแล้วเรารอจนกว่าตัวเลข GPD จะกลับมาจากจุดต่ำสุดได้เนี่ยดัชนีดาวโจนจะขึ้นมาแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ปรากฎว่าค่าเฉลี่ยดัชนีดาวโจนจะขึ้นมาแล้ว 25% อันนี้คือค่าเฉลี่ย บางครั้งจะเด้งมากกว่านี้ บางครั้งจะเด้งน้อยกว่า มันเป็นตัวพิสูจน์ให้เรารู้ได้ว่า จริงๆแล้วการที่เราไปนั่งเก็งกันว่า GPD ไตรมาสปัจจุบันจะเป็นยังไงจากพฤติกรรมการเงิน คือ มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำ

พอกลับมาดูที่ไทยบ้างอย่างวิกฤติรอบวิกฤติซับไพรม์ GPD ของเราเริ่มติดลบไตรมาสที่ 4 ปี 2008 แต่ว่าดัชนีหุ้นของเราก็ต่ำสุดในไตรมาสนั้น แต่ประเด็นก็คือ GDP ไตรมาส 1 ของปี 2009 ติดลบปีต่อปี ติดลบ 7% แต่หุ้นในปี 2009 ไตรมาส 1 เป็นขาขึ้น แล้วปี 2009 GDP เราติดลบประมาณ 2% ว่า แต่ดัชนีหุ้นขึ้นมา 60% จาก 400 กว่าจุดเป็น 700 กว่าจุด GPD ของปี 2009 เพิ่งจะเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่จะเราจะมานั่งคาดการณ์สิ่งเหล่านี้

ดังนั้นเวลาอ่านข่าวสารผมไม่ได้สนใจเลยว่า GPD ไตรมาสนี้ ไตรมาสหน้าจะติดลบเท่าไร ไม่ได้สนใจคนว่างงานเลย การติดตามสิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีค่าเสียโอกาส อันนี้เป็นคำตอบว่าผมให้น้ำหนักเกี่ยวกับอะไร

เวลาดูข้อมูลผม จริงๆผมให้น้ำหนักความถูกความแพงของตลาด เช่น ตัวเลข PE ของตลาด ตัวเลขเงินปันผล มูลค่าทางบัญชีของตลาด คือ เราต้องบอกว่า PE ตลาดอาจจะแพง เพราะฐานต่ำผิดปกติจากสถานการณ์โควิด หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้บริษัทจะมี PE เท่าไร ให้มองตรงนั้นเหมาะสมกว่า ส่วนหนึ่งถ้าดูช่วงสั่นๆ ที่ดัชนีฟื้นตัวมา 1200 จุด ถ้าดูจากตัวเลข P/BV มันไม่ได้ถูกมากในระยะสั่น แต่เงินปันผล 4% เป็นตัวเลขที่เห็นมานานแล้ว

ตอนนี้นักลงทุนเหมือนโดนชกมาเต็มๆ แล้วจะเลิกแล้ว ผมจะบอกว่าผมจะเอาคืนแล้ว ผมไม่รู้หุ้นจะถึงจุดต่ำสุดตรงไหน เราคิดว่าเราจะสร้างเนื้อสร้างตัว เราอยู่ฝั่งนี้มีความน่าจะเป็นหรือมีความได้เปรียบ

ทุกครั้งที่เศรษฐกินติดลบเยอะๆ มันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เขากลายเป็นตำนานเช่น วอแรน บับเฟต ในปี 1969-1973 ในช่วงเวลานั้น US เกิดวิกฤติ เรียกว่า …………คือดัชนี S&P500ลงมา 500 กว่าจุดจาก 1000 กว่าจุด ทีนี้ตอนถึงจุดต่ำสุดประมาณปี 1973 วอแรนซื้อหุ้นวอชิงตันโพส คือ เป็นการลงทุนเขากำไรดีมาก ลงไป 10 ล้าน US สามสิบปีต่อมาเงินตรงนี้เป็น 1500 ล้าน US เหมือนกับว่าเวลาที่เราโดนมาเต็มทีแล้ว ถ้าเกิดเราหาการลงทุนที่น่าสนใจได้ อันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเกษียณได้ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนๆ นั้นกลายเป็นตำนานได้ หรืออย่างในไทย อย่างพี่โจ ลูกอีสาน ดร.นิเวศน์ อย่างประวัติของท่านไทยลอยตัวค่าเงิน และได้กำไรในหุ้นส่งออก หรือหุ้นยานยนต์ ได้สร้างเนื้อสร้างตัวได้เยอะมาก

ถ้าเราไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ เราจะบอกว่าเราอยากมีโอกาสแบบเขาเนอะ แต่พอเราในภาวะวิกฤติจริงเราก็บอกว่าเราไม่อยากลงทุนแล้ว เราอยากถือเงินสดผมมันว่ามันเป็นเรื่องตลกนะ พอเวลาไม่มีวิกฤติคุณก็บอกว่า ถ้ามันวิกฤติคุณจะขอเป็นคนโกบโกยจากตลาดหุ้นได้เยอะมากๆ เหมือน วอแรน เหมือนพี่โจ เหมือน ดร.นิเวศน์ พอมันวิกฤติจริงๆ คุณบอกไม่มีกำลังใจในการลงทุนแหละ คือ ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าเราถอดใจผิดจังหวะหรือป่าว

ในควาคิดเห็นคนที่มั่นใจต้องมาจากเขามีความรู้เยอะ วอแรน เขามีความรู้สื่อสิ่งพิมพ์เยอะมาก อย่าง ดร.นิเวศน์ คิดว่าตามประวัติท่านก็ศึกษาเรื่องบัญชี เพราะเคยทำงานธนาคารมาก่อน ก็เลยคิดว่ามันเป็นความแตกต่าง เขารู้ว่างบดุลแบบนี้ กระแสเงินสดแบบนี้ กำไรแบบนี้ จ่ายปันผลแบบนี้ บริษัทไม่เจ๊ง เราก็จะรู้สึกว่ามันเป็นโอกาส ถ้าเราไม่มีความรู้ตรงนี้ คือเราก็จะเป็นลูกบอลที่ถูกคนอื่นเหวี่ยงไป เหวี่ยงมาให้หัวหมุน เดียวข่าวก็บอกว่าต่างประเทศมีคนตายเท่าไร


เวลาเรามีความรู้เสร็จ เราก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ให้มากพอ จริงๆอย่างผม อ่านงานวิจัยของพฤติกรรมของตลาดหุ้นค่อนข้างเยอะ และทำงานวิจัยเกี่ยวหุ้นกลุ่มต่างๆ ก็เลยทำให้เวลาเกิดภาวะอะไรขึ้นมา ผมก็มีความมั่นใจในการลงทุน ไม่ได้หมายความว่าผมจะลงทุนแล้วถูกทุกครั้งนะครับ โดยรวมๆ คิดว่าครั้งที่กำไรจะได้เยอะ ครั้งที่ขาดทุนจะโดนไม่เยอะ ก็คิดว่าเราต้องมีความรู้ในกลุ่มหุ้นที่เราจะลงทุน ว่ามันมีลักษณะโครงสร้างรายได้ การฟื้นตัวหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจเป็นยังไงบ้าง

ข้อแนะนำ ของผม เราควรมองอะไรให้มันยาว อย่ามองสั้นๆ เราต้องมี Mind set ที่ถูกต้อง ว่าเราลงทุนวันนี้ เพื่อที่จะเกษียณอีก 10 ปีข้างหน้า

อย่างผมเพิ่งแนะนำเพื่อนของผม มีเงินลงทุนประมาณ 7 หลัก ถ้าขยันมากๆ อีก 10 ปีข้างหน้าเกษียณได้แน่นอน ถ้าเริ่มที่ตรงนี้นะ แต่อีก 3-6 เดือน ผมไม่รู้ แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เรารวยได้ ผมก็บอกเพื่อนไปแบบนี้

หุ้นประเภทไหนจะรอดหลังโควิด คือ จริงๆ ช่วงที่ผ่านมาผมกลับมาทำการบ้านหุ้นเยอะ จริงๆ แล้วอยากจะเกษียณตัวเองแล้วนะ แต่เวลาหุ้นมันพังลงมา ผมก็คิดว่าเรารับหมัดมาเยอะแล้ว เราต้องเอาคืน ก็เลยฟิตขึ้นมา ค้นหาข้อมูลจากหลายๆ อุตสาหกรรม คือสิ่งที่ผมนั่งอ่านและได้ข้อสรุป ผมรู้สึกว่า เราไม่ควรจะคิดว่าอุตสาหกรรมไหนจะรอด ไม่รอด คือใน Sector หนึ่ง จะมีคนหนึ่งที่ทำธุรกิจ กู้เยอะๆ มีกระแสเงิสดน้อย ทำธุรกิจเหมือนกับตั้งสมมติฐานบนแง่ดี เราจะขายให้ลูกค้าเท่านั้น เท่านี้ อย่างงี้ครับ พอเจอภาวะแบบนี้ (ภาวะวิกฤติ) ธุรกิจที่ถูกผู้บริหาร บริหารลักษณะนี้ ผมดูแล้วผมแล้วบางบริษัทจะไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยด้วยซ้ำ แต่ว่าในกลุ่มเดียวกันมีคนบอกจะจ่ายปันผลเพิ่มไปอีก เวลาเรามองว่าตัวไหนจะรอด

ผมคิดว่า Sector ไหนกระทบและฟื้นตัวช้า แต่แน่นอนว่ากลุ่มที่ใกล้เคียงจะล้มละลาย เราดู หนี้สินต่อทุน ดูว่าปีก่อนๆ มีดอกเบี้ยจ่ายเท่าไร

ปีนี้ถ้ารายได้หายไปเยอะ กำไรก่อนจ่ายดอกเบี้ย และภาษีที่เรียกว่า EBIT มันน่าจะเพียงพอต่อการจ่ายหนี้ไหม แล้วเราดู D/E สูงหรือยัง บางบริษัท D/E สูง และดอกเบี้ยเยอะด้วย ถ้าจะรอดต้องเพิ่มทุน เราเป็นผู้ถือหุ้น เราก็จะถูกแชร์ส่วนแบ่งไปมากขึ้น ถามว่ากลุ่มไหน ที่จริงผมมองเป็น Vision ผู้บริหารมากกว่า
เราต้องเจาะไปรายตัว เขาอาจจะเก่ง และบริหาร เหมือนคนทำธุรกิจคนเคยผ่านเศรษฐกิจแล้ว จะลงทุนน้อยลง บริษัทยังขยายงานเยอะอยู่ เราจะเห็นคนผ่านวิกฤติ

วิกฤติตอนนี้ หุ้นเต็มพอร์ต เวลาขาขึ้นได้มากกว่าตลาด เวลาวิกฤติก็หนักพอสมควร แต่ผมเจอหุ้นแล้วเทียบกับศักยภาพบริษัทแล้วน่าลงทุนดี

ช่วงนี้กลับมาอ่านหุ้นเยอะหน่อย เพราะเพื่อนเพิ่งเปิดพอร์ต จึงขยันขึ้นจะได้พูดคุยหรือคำแนะนำ ทุกวันนี้จึงกลับมาฟิตจะเยอะ บางวันอ่าน 4-5 ชั่วโมง ตอนพอร์ตเล็กอ่าน 8-9 ชั่วโมงต่อวัน เหมือนผมรู้ว่าผมอยากจะหาบริษัทแนวไหน จุดที่จะมองข้ามบริษัทเหล่านี้เลย มันอยู่ตรงไหน พอผมเจอตรงนั้นผมก็ไม่อ่านต่อแล้วไง

ทำให้เดียวนี้เราเลือกประมาณไหน เรารู้สเปคเลยใช้เวลาน้อยกว่าสมัยก่อน เวลาผมอ่าน ผมจะเทียบข้อมูลส่วนตัวเก็บว่า หลังซับไพรม์ หุ้นกลุ่มนี้ฟื้นตัวยังไง ทำไมตัวนี้ฟื้นตัวไว กลุ่มนั้น ทำไมขึ้นเร็วกว่าอีกตัว เพราะมีโครงสร้างรายได้ยังไง

หลักการคือ
คุณดูแล้วว่าเก่งกว่าคู่แข่งชัดเจน ตัวเลขหนึ่งที่ผมชอบดูคือผลตอยแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ถ้า ROE ของบริษัทนั้นสูงกว่าคู่แข่ง ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และค่อนข้างต่อเนื่อง ผมคิดว่ามันเป็นตัวเลขที่บอกอะไรบางอย่างกับเรานะ ว่าทำไมบริษัทนี้ถึงมีอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นสูงกว่า ซึ่งวิกฤติรอบซับไพรม์ ผมสังเกตว่าตัวที่ฟื้นตัวมากกว่าตัวอื่นจะเป็นตัวที่มี ROE สูงกว่าในกลุ่ม การที่ผมเคยศึกมา ผมรู้ว่าแล้วว่าตัวไหนมีคุณภาพค่อนข้างจะดี

คือ คำถามที่ยากคือว่า บริษัทที่ดีนั้น ราคามันฟื้นตัวไปเยอะหรือยัง ไอ้แบบนี้บางทีก็ตอบยาก บางทีอยู่ที่ว่าเรามองสั้น มองยาวด้วย อย่างผมรู้สึกว่า บางกลุ่มที่เด้งมารอบนี้ เด้งขึ้นมาเยอะเกินไป เมื่อเทียบกับกำไรที่ผมประมาณการณ์ที่จะทำได้ในปีนี้

คือมองไปถึงปี 64-65 เลย (ปัจจุบัน 63) เลยหรือเปล่า แต่บางตัวกำไรอาจจะลดลงบ้าง เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ แต่ว่า ราคาหุ้นมันลงมาพอสมควรแต่มันไม่ค่อยเด้ง
เราต้องทำ 2 โจทย์
1) บริษัทที่คุณภาพ
2) แล้วมันราคาไหน

เราต้องตอบข้อแรกให้ได้ก่อน เราจะพอรู้ว่าบริษัทจะสร้างกำไร กับกระแสเงินสดได้ไร แล้วเราก็พอประมาณราคาที่เหมาสมได้

ถ้าคุณจะลงทุนตอนนี้ ให้มองว่าอีก 10 ปี คุณจะเกษียณได้ อย่าเพิ่งไปสนใจเดือนหน้า สามเดือนหน้า มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ปลูกต้นไม้ แล้วหวังว่าจะออกดอก ให้ร่มเงากับเราได้ในวันพรุ่งนี้ เราคิดว่าเราต้องจำกัดความโลภของเรามาก

จริงเดือนที่แล้วที่หุ้น Circuit brake รู้สึกมีความกลัวมาบ้าง แต่ไม่ได้จิตหลุด ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ไม่ได้ทนไม่ไหว แล้วล้างพอร์ต




คุณฮง-เซียนหุ้นอัจฉริยะ มั่งคั่งหลักพันล้าน

ถ้าเราจะดูธุรกิจสักธุรกิจหนึ่ง เราต้องรู้จักธุรกิจ ลักษณะของธุรกิจนั้นลึกมาก
.
หุ้นที่ทำให้ผมได้ผลตอบแทนเยอะๆ แต่ละตัวเนี่ย จะเป็นหุ้นที่กำไรของธุรกิจนั้นก้าวกระโดด เป็นช่วงเหมือนกับยุคทองของบริษัทนั้นพอดี
.
ซึ่งงานของนักลงทุน คือ ต้องไปเจาะว่าทำไมในอีก 2-3 ปีข้างหน้าถึงธุรกิจนี้ถึงจะเป็นยุคทองของเขา ทำไมกำไรถึงจะเพิ่มขึ้นได้ เป็นเท่าๆตัว ภายในเวลาไม่นาน ผมต้องเข้าไปหาหุ้นลักษณะนี้ให้เจอ
.
วิธีการวิเคราะห์จะเริ่มต้นจาก
.
ต้องวิเคราะห์ก่อนว่าลักษณะรายได้ของเขา ควรจะโตมากกว่าค่าเฉลี่ย เช่น โตมากกว่า GDP
.
สมมติประเทศเราโต 5-6% ในมุมมองของผมรายได้ต้องโต 2 เท่าขึ้นไป 10-15% ขึ้นไป หรือบางครั้ง ผมสามารถหาหุ้นที่รายได้โต 20% ได้ติดกันทุกปี 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นแบบนี้ผมจะกำไรค่อนข้างเยอะ
.
ซึ่งวิธีการหาเนี่ย
.
✅ ผมจะดูว่าอะไรที่คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปใช้งาน
.
เช่น สมัยก่อนคนจะใช้โทรศัพท์กัน แต่เดียวนี้จะ Chat กันเยอะ รูปแบบธุรกิจอะไรบ้างที่จะได้ประโยชน์ คนเปลี่ยนพฤติกรรมแบบนี้ไปเยอะๆ รายได้ของธุรกิจได้ประโยชน์เยอะมาก
.
✅ นี้เป็นด่านแรก รายได้ต้องโตมากกว่า GDP ค่อนข้างเยอะๆ
.
✅ แล้วเราก็จะดูต่อไปว่าต้นทุนของเขา ต้องไม่เพิ่มขึ้น
.
❌ มีหุ้นหลายตัวเป็นกับดักนักลงทุน เพราะว่ารายได้โต อะไรๆ ก็ดูดี แต่ว่ามันแข่งขันกันลดราคา
.
❌ อย่างเครื่ิองดื่มบางประเภท ก็แข่งขันกัน โปรโมชั่นกัน จนงบออกมาขาดทุน แม้ว่าคนจะบอกว่าตลาดของเครื่องดื่มชนิดนั้นโต แต่ปรากฎว่าแม้รายได้โต แต่มาจากการทำโปรโมชั่น เราต้องคิดให้ละเอียดว่า เวลาโตแล้วมันจะแข่งกันเยอะรึเปล่า มันต้องสแกนหลายด่าน แต่ด่านแรกรายได้ของธุรกิจนั้นต้องโตเยอะ พอโตเยอะก็ต้องมาดูการแข่งขันต่อ
.
✅ จุดที่สำคัญเวลาผมลงทุนทุกธุรกิจ ผมจะต้องประมาณการกำไรคราวๆนะครับ ของธุรกิจนั้นอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้าพอออก
.
✅ ถ้าผมประมาณการไม่ได้ผมจะไม่เล่น
.
✅ เวลาผมจะประมาณการรายได้ ผมลองยกตัวอย่าง อย่างเช่นว่า
- ถ้าเขาจะมีรายได้เพิ่ม เขาต้องผลิตสินค้าได้มากขึ้น
- เราต้องรูัว่า ซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มเท่าไร
- ที่ซื้อเพิ่มจะผลิตของได้อีกกี่ชิ้น สมมติ ดูหุ้นยานยนต์ หรืออิเล็กทรอนิกส์ จะผลิตของได้อีกกี่ชิ้น
- แล้วเราต้องมาประมาณการว่า เครื่องจักรสมมติซื้อ 1000 ลบ.
- แล้วตัดค่าเสื่อมกี่ปี ถ้าตัด 10 ปี ปีละ 100 ลบ.
- กู้มาอีกเท่าไร สมมติกู้มา 500 ลบ. ใช้ทุนตัวเอง 500 ลบ.
- เงินที่กู้มา 500 ลบ. จ่ายดอกเบี้ยเท่าไร
- มันจะทำให้เราเห็นเลยว่า หลังจากที่บริษัทเนี่ยลงทุน รูปร่างหน้าตาของดอกเบี้ย ค่าเสื่อม รายได้ต่างๆ จะเป็นยังไงใน ปี ถึง 2 ปีข้างหน้า ถ้าเราประมาณการณ์ได้ว่าเติบโตค่อนข้างสูง เราถึงจะลงทุน
.
ก็ต้องมีรายละเอียดแบบนี้ คือเราประมาณการแต่ละรายการหลักๆ ได้หรือเปล่า
.
✅ อัตราส่วนทางการเงิน ผมดูคราวๆ ไม่กี่ตัว อย่างเช่น
- ROE ถ้า ROE สูง 15-20% ถ้าให้ดีเกิน 20% ติดกันแล้ว 2-3 ปียิ่งดี
- ส่วนใหญ่จะดู PE ต่ำหน่อย ส่วนใหญ่ผมแทบจะซื้อหุ้นไม่เกิน PE 15 แต่ PE 15 นี้ผมคิดว่า ❌ผมไม่ได้ใช้กำไรย้อนหลังนะครับ ✅ ผมใช้กำไรที่ผมคาดการณ์
.
ถ้าเราจะเล่นหุ้นแล้วกำไรเยอะๆ แล้วเราไม่อยากพลาดไปติดดอย เราต้องทำประมาณการเรื่ิองพวกนี้ได้ หลักๆ เคล็ดลับที่ผมใช้ แล้วได้กำไรเยอะๆ คือ การทำประมาณการแบบนี้ ภาษาทางการเงินเขาเรียก Financial Projection
.
✅ วิธีการเลือกหุ้น
1) อย่าไปซื้อกบในราคาเจ้าชาย ถ้าจูบแล้วกบ ไม่กลายร่างเป็นเจ้าชาย เหมือนกับการจ่ายเงินเกินไป คือให้ซื้อกบในราคากบ ถ้าเกิดมันไม่กลายเป็น เจ้าชาย เราไม่เสียเปรียบ ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่า PE ต้องต่ำ เพราะว่า PE ต่ำผมไม่จ่ายแพง หุ้นบางตัว PE 50 เท่า แล้วคนบอกว่าจะโตต่อ ถ้าเปิด AEC หุ้นตัวนี้จะดี แต่เรารู้สึกว่า หุ้นตัวนี้เป็นราคาเจ้าชายสุดหล่อ ถ้าเจ้าชายคนนี้ทำอะไรที่ Rating ตกนิดเดียว ความหวังของคนให้ไปล่วงหน้าแล้ว อย่างแรกสุดผมดู PE ก่อน PE ไม่ควรสูง ปกติผมจะซื้อ Forward PE ไม่เกิน 15 เท่า
.
2) กำไรสุทธิ หุ้นที่ผมลงทุน ควรโตอย่าวน้อย 26% เฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า
.
26% เนี่ย 3 ปีจะให้กำไร
สมมติปีแรก กำไร 100 ลบ. ถ้าโตปีละ 26% อีก 3 ปีจะกำไร 200 ลบ. ก็คือ 3 ปี จะโตเท่าหนึ่ง
.
ถ้าหาหุ้นที่โตได้ 100% ในปีเดียว มันจะไม่เสถียร คือโตได้ แต่อีกปีจะขาดทุนได้ เพราะธุรกิจมันขายถ่านหิน หรือโรงกลั่น หุ้นหลายตัว ปีนี้กำไร ปีหน้าอาจจะขาดทุน แต่ผมอยากได้กำไรเพิ่มแล้วไม่ตก แล้วเหมือนกับว่ามูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี
.
3) เงินปันผลไม่ควรน้อยกว่า 4% อันนีัคืออย่างน้อย 4-5% ขึ้นไป
.
สมมติลงทุนหุ้น X ราคา 10 บ. ได้ปันผล 5% ถ้าราคายังอยู่ 10 บาท แตากำไรสุทธิเพิ่มไปอย่างที่ผมว่า คือโตปีละ 26% อีกเวลา 3 ปี กำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมจะได้เงินปันผลจาก 5% เป็น 10% คือในตลาดแทบไม่มีหุ้นตัวไหนปันผล 10% ถ้าปันผลเยอะขนาดนี้คนต้องไปซื้อ ราคาก็ต้องเพิ่ม
.
หลักๆประมาณนี้
.
ชีวิตประจำวัน
ตื่นมาอ่าน research แล้วดูกราฟ ดูราคาว่า 2-3 ปีที่แล้วเป็นยังไง เราจะใช้ดูเทียบกับกำไร
.
1) ตอนเช้าเปิดเมล์เพื่ิอ save research แล้วปริ้นออกมาอ่าน
2) ดูตัวที่หน้าสนใจ แล้วมาดูกราฟต่อ
.
สมัยก่อนใช้เวลา 7-8 ชม. (ปัจจุบัน 2014) เดียวนี้วันละ ชม. กว่าๆ เรารู้สึกค้นพบตัวเองแล้ว ไม่ได้อ่านเยอะเหมือนเมื่ิอก่อน
.
เมื่ิอก่อนไม่รู้ว่าหุ้นประเภทนี้เป็นยังไง ผมอ่านหมด แต่เดียวนี้ผมรู้เลย กลุ่มนี้ปมไม่เล่น อุตสาหกรรมนี้ไม่เล่น หุ้นผู้บริหารนามสกุลนี้ผมไม่เล่นเลย ผมก็ไม่ต้องอ่าน เพราะผมก็จะรู้ว่าผมสนใจอะไรบ้าง ที่คนเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้รายได้มันโต ผมก็อ่านแค่นั้น มันทำให้ผมโฟกัสที่มันตอบโจทย์กับสไตล์การลงทุนของผมเท่านั้นจริงๆ
.
ไม่เหมือนเมื่อก่อน เหมือนเราไม่รู้อะไรอีกเยอะมาก เราต้องอ่าน
- คนนี้ธรรมภิบาลไม่ดีนะ เราก็หลีกเลี่ยงบริษัทแบบนี้
- อุตสาหกรรมเวลาเงินบาทแข็ง กำไรเละทั้งกลุ่ม แล้วเงินบาทค่อยๆ แข็ง ก็ไม่อยากสวนกระแส ว่ามันจะต้องโตมากๆเลยนะ เพื่อจะสวนเงินบาท ให้มันดีอีกต่อหนึ่ง
.
เราก็จะรู้ว่าอะไรที่เราไม่ดู ที่เราดูอ่าไม่เยอะ แต่ได้ประสิทธิภาพ
.
เวลาคุณเพิ่งเข้ามาแล้วเป็นตลาดขาขึ้น คิดว่าตัวเองเป็นเซียน ตลาดแค่ปีเดียว มันไม่ได้สะท้อนว่าคุณเซียนไม่เซียน แต่ถ้าคุณผ่านมา 10 ปี คุณต้องเจอปีที่โหดๆ แน่ๆ ปี 2 ปี ต้องเจอแน่ๆ คนผ่านมา 10 ปี เออ มันไม่เครียดนะ
.
สิ่งที่ทำให้มาถึงวันนี้ได้ น่าจะเป็รทัศนคติ ผมรู้สึกว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้ ตอนช่วงแรกๆ ก็ขาดทุน แล้วถามตัวเองว่าไม่เหมาะกับตลาดหุ้นหรือป่าว
.
ความคิดของ Technical มันก็ดีมากนะ ถ้าผิดทางเราก็ออกมา เช่น เราประมาณการณ์กำไรว่าปีนี้ต้องได้ 100 ลบ. แต่ผลออกมาได้ 30 ลบ. เราก็ออกมาก่อน

Credit: https://youtu.be/SbwGh0mA7JU?si=3fghlPoSV-uxSKm-



วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ขั้นตอนการอ่าน 56-1 ของบริษัท

 เป็น Mind map ที่ได้เรียน e-learning ในเว็บ SET โดยพี่มี่ นักลงทุน VI มาสอน การอ่านจะเริ่มจากวงรี 

1. ลักษณะธุรกิจหรือโครงสร้างธุรกิจ ก่อนว่าประกอบกิจการอย่างไร มีสินค้าหรือบริการอะไร

2. ทำการเชื่อมโยงลักษณะธุรกิจกับ ทีมบริหาร ว่ามีโครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างไร เน้นถือในสัดส่วนเยอะๆไว้ก่อน และดูว่าประสบการณ์ และความชำนาญของผู้บริหาร เป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถในการประกอบธุรกิจไหม

3. ดูอุตสาหกรรมว่ามีการเติบโตไหม 

4. ดูงบการเงินและ Link เข้ากับธุรกิจ ดูว่าธุรกิจประกอบกิจการที่ไหนบ้าง ลูกค้าเป็นใคร สินค้าและบริการมีอะไรบ้าง รายได้ที่ได้รับมาเป็นอย่างไร สัดส่วนเท่าไร เติบโตไหม ต้นทุนของการผลิตหรือบริการต่างๆ มีอะไรบ้าง ดูอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ 



การศึกษาธุรกิจของบริษัทผ่านเครื่องมือ Business Model Canvas

ผมจะใช้เครื่องมืออย่าง Business Model Canvas หรือ BMC ช่วยในการเป็นไกด์นำพาเราอ่านเอกสารต่างๆ เอกสาร 65-1 หรือคลิปวีดีโอต่างๆ และจับประเด็นต่างๆ มาใส่ในหัวข้อทั้ง 9 ข้อด้านล่าง จะทำให้เราไม่งง หรือสับสนว่าเราจะอ่านอะไรดี เพราะตัวเอกสารที่ได้จากเว็บ SET มีเอกสารเยอะ ผมจึงทำการใช้ตัว BMC มาช่วยในการตั้งต้นศึกษา อาจจะไม่ได้กรอกเรียงลำดับข้อหัว 1 ถึง 9 แต่เราอ่านแล้วก็พยายามใส่ไปในช่องที่เราเตรียมไว้ ทั้ง 9 ข้อ

1. Value Propositions (คุณค่าที่บริษัทอยากส่งมอบ)

2. Customer Segments (ลูกค้า)

3. Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)

4. Channels (ช่องทางขาย)

5. Key Activities (กิจกรรมหลัก)

6. Key Resources (ทรัพยากรหลัก)

7. Key Partnerships (พันธมิตรหลัก)

8. Revenue Streams (รายได้ของธุรกิจ)

9. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)


ยกตัวอย่างบริษัท After you หรือตัวย่อ AU

After you เป็นร้านขนมหวานและร้านเครื่องดื่ม  การขายสินค้าและวัตถุดิบ  การขายและการจัดงานนอกสถานที่ แฟรนไชส์ ที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และมีที่ฮ่องกง และกัมพูชา

1. Value Propositions (คุณค่าที่บริษัทอยากส่งมอบ)

ขายความอร่อย และความสุขระหว่างกินขนมหวานกับเพื่อน ครอบครัว


2. Customer Segments (ลูกค้า)

เด็กนักเรียน คนวัยทํางาน ที่เข้ามาทานกับกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัวที่ระดับรายได้ปานกลางถึงสูง


3. Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)

1) การติดแบรนด์ 

2) การเป็นสมาชิก


4. Channels (ช่องทางขาย)

1) ที่ร้าน สาขา

2) 7-Eleven

3) Popup Store

4) แฟรนไชส์

5) OEM (Air Asia, การบินไทย, Starbucks)


5. Key Activities (กิจกรรมหลัก)

1) ขยายร้าน

2) เพิ่มสินค้า

3) เพิ่มช่องทางขาย

4) ปรับ Product mix


6. Key Resources (ทรัพยากรหลัก)

1) โรงครัวกลางรองรับการผลิต ของร้าน

2) ร้านสาขา

3) คุณเมย์ (เจ้าของสูตร)

4) พนักงาน


7. Key Partnerships (พันธมิตรหลัก)

7- Eleven

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด

แฟรนไชส์

ผู้ขายวัตถุดิบ


8. Revenue Streams (รายได้ของธุรกิจ)

1) ร้านขนมหวานและร้านเครื่องดื่ม  86.5%

2) การขายสินค้าและวัตถุดิบ 6.8%

3) การขายและการจัดงานนอกสถานที่ 4.1%

4) แฟรนไชส์ 1.5%


9. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)

1) ต้นทุนขาย ต่อยอดขาย 34.8% 

2) ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย ต่อยอดขาย 30.3%

3) ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต่อยอดขาย 16.5%


การศึกษาแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

จะเล่าตอนที่เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเดินมาถูกทาง (และตอนที่เขียนก็ยังไม่มีอิสระภาพทางการเงิน)

1. ไปฟังคลิปของคุณไม้ฟืน นักลงทุน VI ที่เล่าประวัติชีวิตตัวเอง และได้แนะนำเว็บของคุณโย Yoyoway และคุณไม้ฟืนบอกว่าเว็บของคุณโยเป็นอาจารย์และแนวทางการศึกษาที่ดี จึงปริ้นออกมาอ่าน และเริ่มศึกษาแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า อ่านหนังสือตามที่คุณโยแนะนำ

2. การไปลงคอร์สของ Pocket Investor ซึ่งคุณกานต์เป็นผู้สอน ก็ได้ลำดับการศึกษา คุณกานต์บอกว่าให้ศึกษาธุรกิจก่อนไปดูงบ  และหนังสือที่คุณกานต์แนะนำ

3. อ่านหนังสือตามที่คุณโย และุคุณกานต์แนะนำ

4. ทำการสมัครเว็บไซต์ Thai VI  ทดลองอ่านหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบโพส และจากนั้นทำการเข้าไปติดตามไอดอลการลงทุน มีหลายท่าน  (ชื่อ Login) เช่น 
    - คนขายของ (คุณชาย มโนภาส) 
    - hongvalue (คุณฮง)
    - Mario (คุณกานต์ ณัฐชาติ
    - สามัญชน (หมอสามัญชน)
    - ลูกอีสาน (คุณโจ) 
    - Invisible Hand (คุณคเชนทร์)

5. ลงเรียนการวิเคราะห์งบการเงิน จากเว็บ SET 

การหาบริษัทที่จะซื้อลงทุนที่พอจะตกผลึกได้ ณ ตอนนี้

การหาบริษัทที่จะซื้อลงทุนที่พอจะตกผลึกได้ ณ ตอนนี้

1. เจอบริษัทที่เราคิดว่าเข้าใจ และชอบ เป็นบริษัทไม่เบียดเบียนสังคม ก็เริ่มจาก อ่านข้อมูลสาระสนเทศของบริษัท และดูงบการเงินคราวๆ

2. วิเคราะห์อุตสาหกรรมด้วย 5 force model

3. ศึกษาธุรกิจก่อน ด้วยเครื่องมือ BMC หรือ Business Model Canvas

4. ตั้งคำถามว่า สินค้า หรือบริการ จะโดน Disrupt หรือไม่

5. วิเคราะห์ในฐานะลูกค้า ผู้ใช้งานว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืน หรือไม่ ด้วยเครื่องมือของ MOAT หรือ DCA หรือ 7 Power โดยทำตัวเป็นลูกค้าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ

6. ศึกษากลยุทธ์การเติบโตของบริษัท ด้วยเครื่องมือของ Ansoff Matrix จะได้มองถึงการเติบโต เทียบกับความเสี่ยง

7. วิเคราะห์งบการเงิน ใช้เทคนิคของ

งบดุล และ งบกำไร (ขาดทุน)
- การวิเคราะห์แนวตั้งซึ่งหลายคนเรียก Common size Analysis

-  การวิเคราะห์แนวโน้ม เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลในงบการเงินตั้งแต่ 2 ปี หรือมาโดยแสดงผลต่างในรูปของจำนวนเงินและร้อยยละ (%)  ที่เพิ่มขึ้นหรือลดเมื่อเทียบกับปีฐาน

งบกระแสเงินสด & งบกำไร (ขาดทุน)
- ทำการพิจารณาตัว Non cash , กำไร (ขาดทุน) พิเศษ และบวกกลับ หรือหักกับกำไรสุทธิ เพื่อนำไปพิจารณาหามูลค่าของบริษัท

8. ประเมินว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทประเภทไหน ตามทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินซ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางการประเมินมูลค่า

9. ประเมินมูลค่าของบริษัท และต้องมี Margin of safety ตามประเภทของบริษัท บางบริษัท บางประเภทของหุ้นจะให้ Margin of safety แตกต่างกัน

9.1 กำหนดกลยุทธ์การลงทุน

9.2 รอคอยให้เป็น ตามการประเมินมูลค่าตามความคาดหวังผลตอบแทนที่เราจะได้

9.3 จังหวะไม่มั่นใจ คือจังหวะซื้อ

10. ควบคุมจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด และตรวจสอบข้อ 2-10 ทุกๆ ไตรมาส แต่สำหรับข้อ 4 นั้นหากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน ต้องพิจารณาการถือหุ้นด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะกำไร หรือขาดทุน
.

หากมีข้อเสนอแนะหรือติ ผ่าน e-mail สามารถกรอกด้านล่างครับ

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *