ถ้าเราจะดูธุรกิจสักธุรกิจหนึ่ง เราต้องรู้จักธุรกิจ ลักษณะของธุรกิจนั้นลึกมาก
.
หุ้นที่ทำให้ผมได้ผลตอบแทนเยอะๆ แต่ละตัวเนี่ย จะเป็นหุ้นที่กำไรของธุรกิจนั้นก้าวกระโดด เป็นช่วงเหมือนกับยุคทองของบริษัทนั้นพอดี
.
ซึ่งงานของนักลงทุน คือ ต้องไปเจาะว่าทำไมในอีก 2-3 ปีข้างหน้าถึงธุรกิจนี้ถึงจะเป็นยุคทองของเขา ทำไมกำไรถึงจะเพิ่มขึ้นได้ เป็นเท่าๆตัว ภายในเวลาไม่นาน ผมต้องเข้าไปหาหุ้นลักษณะนี้ให้เจอ
.
วิธีการวิเคราะห์จะเริ่มต้นจาก
.
ต้องวิเคราะห์ก่อนว่าลักษณะรายได้ของเขา ควรจะโตมากกว่าค่าเฉลี่ย เช่น โตมากกว่า GDP
.
สมมติประเทศเราโต 5-6% ในมุมมองของผมรายได้ต้องโต 2 เท่าขึ้นไป 10-15% ขึ้นไป หรือบางครั้ง ผมสามารถหาหุ้นที่รายได้โต 20% ได้ติดกันทุกปี 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นแบบนี้ผมจะกำไรค่อนข้างเยอะ
.
ซึ่งวิธีการหาเนี่ย
.
ผมจะดูว่าอะไรที่คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปใช้งาน
.
เช่น สมัยก่อนคนจะใช้โทรศัพท์กัน แต่เดียวนี้จะ Chat กันเยอะ รูปแบบธุรกิจอะไรบ้างที่จะได้ประโยชน์ คนเปลี่ยนพฤติกรรมแบบนี้ไปเยอะๆ รายได้ของธุรกิจได้ประโยชน์เยอะมาก
.
นี้เป็นด่านแรก รายได้ต้องโตมากกว่า GDP ค่อนข้างเยอะๆ
.
แล้วเราก็จะดูต่อไปว่าต้นทุนของเขา ต้องไม่เพิ่มขึ้น
.
มีหุ้นหลายตัวเป็นกับดักนักลงทุน เพราะว่ารายได้โต อะไรๆ ก็ดูดี แต่ว่ามันแข่งขันกันลดราคา
.
อย่างเครื่ิองดื่มบางประเภท ก็แข่งขันกัน โปรโมชั่นกัน จนงบออกมาขาดทุน แม้ว่าคนจะบอกว่าตลาดของเครื่องดื่มชนิดนั้นโต แต่ปรากฎว่าแม้รายได้โต แต่มาจากการทำโปรโมชั่น เราต้องคิดให้ละเอียดว่า เวลาโตแล้วมันจะแข่งกันเยอะรึเปล่า มันต้องสแกนหลายด่าน แต่ด่านแรกรายได้ของธุรกิจนั้นต้องโตเยอะ พอโตเยอะก็ต้องมาดูการแข่งขันต่อ
.
จุดที่สำคัญเวลาผมลงทุนทุกธุรกิจ ผมจะต้องประมาณการกำไรคราวๆนะครับ ของธุรกิจนั้นอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้าพอออก
.
ถ้าผมประมาณการไม่ได้ผมจะไม่เล่น
.
เวลาผมจะประมาณการรายได้ ผมลองยกตัวอย่าง อย่างเช่นว่า
- ถ้าเขาจะมีรายได้เพิ่ม เขาต้องผลิตสินค้าได้มากขึ้น
- เราต้องรูัว่า ซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มเท่าไร
- ที่ซื้อเพิ่มจะผลิตของได้อีกกี่ชิ้น สมมติ ดูหุ้นยานยนต์ หรืออิเล็กทรอนิกส์ จะผลิตของได้อีกกี่ชิ้น
- แล้วเราต้องมาประมาณการว่า เครื่องจักรสมมติซื้อ 1000 ลบ.
- แล้วตัดค่าเสื่อมกี่ปี ถ้าตัด 10 ปี ปีละ 100 ลบ.
- กู้มาอีกเท่าไร สมมติกู้มา 500 ลบ. ใช้ทุนตัวเอง 500 ลบ.
- เงินที่กู้มา 500 ลบ. จ่ายดอกเบี้ยเท่าไร
- มันจะทำให้เราเห็นเลยว่า หลังจากที่บริษัทเนี่ยลงทุน รูปร่างหน้าตาของดอกเบี้ย ค่าเสื่อม รายได้ต่างๆ จะเป็นยังไงใน ปี ถึง 2 ปีข้างหน้า ถ้าเราประมาณการณ์ได้ว่าเติบโตค่อนข้างสูง เราถึงจะลงทุน
.
ก็ต้องมีรายละเอียดแบบนี้ คือเราประมาณการแต่ละรายการหลักๆ ได้หรือเปล่า
.
อัตราส่วนทางการเงิน ผมดูคราวๆ ไม่กี่ตัว อย่างเช่น
- ROE ถ้า ROE สูง 15-20% ถ้าให้ดีเกิน 20% ติดกันแล้ว 2-3 ปียิ่งดี
- ส่วนใหญ่จะดู PE ต่ำหน่อย ส่วนใหญ่ผมแทบจะซื้อหุ้นไม่เกิน PE 15 แต่ PE 15 นี้ผมคิดว่า ผมไม่ได้ใช้กำไรย้อนหลังนะครับ ผมใช้กำไรที่ผมคาดการณ์
.
ถ้าเราจะเล่นหุ้นแล้วกำไรเยอะๆ แล้วเราไม่อยากพลาดไปติดดอย เราต้องทำประมาณการเรื่ิองพวกนี้ได้ หลักๆ เคล็ดลับที่ผมใช้ แล้วได้กำไรเยอะๆ คือ การทำประมาณการแบบนี้ ภาษาทางการเงินเขาเรียก Financial Projection
.
วิธีการเลือกหุ้น
1) อย่าไปซื้อกบในราคาเจ้าชาย ถ้าจูบแล้วกบ ไม่กลายร่างเป็นเจ้าชาย เหมือนกับการจ่ายเงินเกินไป คือให้ซื้อกบในราคากบ ถ้าเกิดมันไม่กลายเป็น เจ้าชาย เราไม่เสียเปรียบ ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่า PE ต้องต่ำ เพราะว่า PE ต่ำผมไม่จ่ายแพง หุ้นบางตัว PE 50 เท่า แล้วคนบอกว่าจะโตต่อ ถ้าเปิด AEC หุ้นตัวนี้จะดี แต่เรารู้สึกว่า หุ้นตัวนี้เป็นราคาเจ้าชายสุดหล่อ ถ้าเจ้าชายคนนี้ทำอะไรที่ Rating ตกนิดเดียว ความหวังของคนให้ไปล่วงหน้าแล้ว อย่างแรกสุดผมดู PE ก่อน PE ไม่ควรสูง ปกติผมจะซื้อ Forward PE ไม่เกิน 15 เท่า
.
2) กำไรสุทธิ หุ้นที่ผมลงทุน ควรโตอย่าวน้อย 26% เฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า
.
26% เนี่ย 3 ปีจะให้กำไร
สมมติปีแรก กำไร 100 ลบ. ถ้าโตปีละ 26% อีก 3 ปีจะกำไร 200 ลบ. ก็คือ 3 ปี จะโตเท่าหนึ่ง
.
ถ้าหาหุ้นที่โตได้ 100% ในปีเดียว มันจะไม่เสถียร คือโตได้ แต่อีกปีจะขาดทุนได้ เพราะธุรกิจมันขายถ่านหิน หรือโรงกลั่น หุ้นหลายตัว ปีนี้กำไร ปีหน้าอาจจะขาดทุน แต่ผมอยากได้กำไรเพิ่มแล้วไม่ตก แล้วเหมือนกับว่ามูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี
.
3) เงินปันผลไม่ควรน้อยกว่า 4% อันนีัคืออย่างน้อย 4-5% ขึ้นไป
.
สมมติลงทุนหุ้น X ราคา 10 บ. ได้ปันผล 5% ถ้าราคายังอยู่ 10 บาท แตากำไรสุทธิเพิ่มไปอย่างที่ผมว่า คือโตปีละ 26% อีกเวลา 3 ปี กำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมจะได้เงินปันผลจาก 5% เป็น 10% คือในตลาดแทบไม่มีหุ้นตัวไหนปันผล 10% ถ้าปันผลเยอะขนาดนี้คนต้องไปซื้อ ราคาก็ต้องเพิ่ม
.
หลักๆประมาณนี้
.
ชีวิตประจำวัน
ตื่นมาอ่าน research แล้วดูกราฟ ดูราคาว่า 2-3 ปีที่แล้วเป็นยังไง เราจะใช้ดูเทียบกับกำไร
.
1) ตอนเช้าเปิดเมล์เพื่ิอ save research แล้วปริ้นออกมาอ่าน
2) ดูตัวที่หน้าสนใจ แล้วมาดูกราฟต่อ
.
สมัยก่อนใช้เวลา 7-8 ชม. (ปัจจุบัน 2014) เดียวนี้วันละ ชม. กว่าๆ เรารู้สึกค้นพบตัวเองแล้ว ไม่ได้อ่านเยอะเหมือนเมื่ิอก่อน
.
เมื่ิอก่อนไม่รู้ว่าหุ้นประเภทนี้เป็นยังไง ผมอ่านหมด แต่เดียวนี้ผมรู้เลย กลุ่มนี้ปมไม่เล่น อุตสาหกรรมนี้ไม่เล่น หุ้นผู้บริหารนามสกุลนี้ผมไม่เล่นเลย ผมก็ไม่ต้องอ่าน เพราะผมก็จะรู้ว่าผมสนใจอะไรบ้าง ที่คนเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้รายได้มันโต ผมก็อ่านแค่นั้น มันทำให้ผมโฟกัสที่มันตอบโจทย์กับสไตล์การลงทุนของผมเท่านั้นจริงๆ
.
ไม่เหมือนเมื่อก่อน เหมือนเราไม่รู้อะไรอีกเยอะมาก เราต้องอ่าน
- คนนี้ธรรมภิบาลไม่ดีนะ เราก็หลีกเลี่ยงบริษัทแบบนี้
- อุตสาหกรรมเวลาเงินบาทแข็ง กำไรเละทั้งกลุ่ม แล้วเงินบาทค่อยๆ แข็ง ก็ไม่อยากสวนกระแส ว่ามันจะต้องโตมากๆเลยนะ เพื่อจะสวนเงินบาท ให้มันดีอีกต่อหนึ่ง
.
เราก็จะรู้ว่าอะไรที่เราไม่ดู ที่เราดูอ่าไม่เยอะ แต่ได้ประสิทธิภาพ
.
เวลาคุณเพิ่งเข้ามาแล้วเป็นตลาดขาขึ้น คิดว่าตัวเองเป็นเซียน ตลาดแค่ปีเดียว มันไม่ได้สะท้อนว่าคุณเซียนไม่เซียน แต่ถ้าคุณผ่านมา 10 ปี คุณต้องเจอปีที่โหดๆ แน่ๆ ปี 2 ปี ต้องเจอแน่ๆ คนผ่านมา 10 ปี เออ มันไม่เครียดนะ
.
สิ่งที่ทำให้มาถึงวันนี้ได้ น่าจะเป็รทัศนคติ ผมรู้สึกว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้ ตอนช่วงแรกๆ ก็ขาดทุน แล้วถามตัวเองว่าไม่เหมาะกับตลาดหุ้นหรือป่าว
.
ความคิดของ Technical มันก็ดีมากนะ ถ้าผิดทางเราก็ออกมา เช่น เราประมาณการณ์กำไรว่าปีนี้ต้องได้ 100 ลบ. แต่ผลออกมาได้ 30 ลบ. เราก็ออกมาก่อน
Credit: https://youtu.be/SbwGh0mA7JU?si=3fghlPoSV-uxSKm-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น