ผมจะใช้เครื่องมืออย่าง Business Model Canvas หรือ BMC ช่วยในการเป็นไกด์นำพาเราอ่านเอกสารต่างๆ เอกสาร 65-1 หรือคลิปวีดีโอต่างๆ และจับประเด็นต่างๆ มาใส่ในหัวข้อทั้ง 9 ข้อด้านล่าง จะทำให้เราไม่งง หรือสับสนว่าเราจะอ่านอะไรดี เพราะตัวเอกสารที่ได้จากเว็บ SET มีเอกสารเยอะ ผมจึงทำการใช้ตัว BMC มาช่วยในการตั้งต้นศึกษา อาจจะไม่ได้กรอกเรียงลำดับข้อหัว 1 ถึง 9 แต่เราอ่านแล้วก็พยายามใส่ไปในช่องที่เราเตรียมไว้ ทั้ง 9 ข้อ
1. Value Propositions (คุณค่าที่บริษัทอยากส่งมอบ)
2. Customer Segments (ลูกค้า)
3. Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
4. Channels (ช่องทางขาย)
5. Key Activities (กิจกรรมหลัก)
6. Key Resources (ทรัพยากรหลัก)
7. Key Partnerships (พันธมิตรหลัก)
8. Revenue Streams (รายได้ของธุรกิจ)
9. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
ยกตัวอย่างบริษัท After you หรือตัวย่อ AU
After you เป็นร้านขนมหวานและร้านเครื่องดื่ม การขายสินค้าและวัตถุดิบ การขายและการจัดงานนอกสถานที่ แฟรนไชส์ ที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และมีที่ฮ่องกง และกัมพูชา
1. Value Propositions (คุณค่าที่บริษัทอยากส่งมอบ)
ขายความอร่อย และความสุขระหว่างกินขนมหวานกับเพื่อน ครอบครัว
2. Customer Segments (ลูกค้า)
เด็กนักเรียน คนวัยทํางาน ที่เข้ามาทานกับกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัวที่ระดับรายได้ปานกลางถึงสูง
3. Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
1) การติดแบรนด์
2) การเป็นสมาชิก
4. Channels (ช่องทางขาย)
1) ที่ร้าน สาขา
2) 7-Eleven
3) Popup Store
4) แฟรนไชส์
5) OEM (Air Asia, การบินไทย, Starbucks)
5. Key Activities (กิจกรรมหลัก)
1) ขยายร้าน
2) เพิ่มสินค้า
3) เพิ่มช่องทางขาย
4) ปรับ Product mix
6. Key Resources (ทรัพยากรหลัก)
1) โรงครัวกลางรองรับการผลิต ของร้าน
2) ร้านสาขา
3) คุณเมย์ (เจ้าของสูตร)
4) พนักงาน
7. Key Partnerships (พันธมิตรหลัก)
7- Eleven
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
แฟรนไชส์
ผู้ขายวัตถุดิบ
8. Revenue Streams (รายได้ของธุรกิจ)
1) ร้านขนมหวานและร้านเครื่องดื่ม 86.5%
2) การขายสินค้าและวัตถุดิบ 6.8%
3) การขายและการจัดงานนอกสถานที่ 4.1%
4) แฟรนไชส์ 1.5%
9. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
1) ต้นทุนขาย ต่อยอดขาย 34.8%
2) ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย ต่อยอดขาย 30.3%
3) ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต่อยอดขาย 16.5%